
เสริมสะโพกด้วยซิลิโคน (Buttock Augmentation) เทรนด์ใหม่ อัพไซส์ เพิ่มความมั่นใจ แก้ไขปัญหาสะโพกเล็ก
การเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมที่ช่วยเสริมขนาดของสะโพกให้โตขึ้น ทำให้สะโพกมีความสวยงาม ช่วยเสริมให้รูปร่างดูดี เลือกใส่เสื้อผ้าได้หลากหลาย สร้างความมั่นใจมากขึ้น ในปัจจุบันการทำศัลยกรรมเสริมขนาดสะโพกด้วยซิลิโคนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการศัลยกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้น การเสริมขนาดสะโพกในสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่มักจะไปใช้วิธีการฉีดซิลิโคนเหลว ซึ่งเกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาเพราะเป็นสารแปลกปลอม เกิดเป็นก้อนพังผืด สะโพกบิดเบี้ยว ผิดรูป ซิลิโคนมีการไหลไปยังส่วนต่างๆ หรือย้อยลงเหมือนคนมีอายุ เพราะซิลิโคนเหลวจะคงสภาพอยู่ได้ไม่นาน การผ่าตัดรักษาก็เป็นไปได้ยากที่จะแก้ไข และทำให้สะโพกนั้นกลับมาสวยเหมือนเดิม
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการเสริมสะโพกด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมซิลิโคนเข้าไป เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในแถบประเทศฝั่งยุโรป อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นไปได้ด้วยดี รูปร่างมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น และสามารถพูดได้ว่าการเสริมสะโพกด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมซิลิโคนนั้นมีความปลอดภัยมากกว่าการฉีดสารแปลกปลอม
ความแตกต่างของซิลิโคนที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพก กับซิลิโคนเสริมหน้าอก
สำหรับซิลิโคนที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพกนั้น เป็นซิลิโคนแบบที่ภายในบรรจุซิลิโคนเจล แบบเดียวกับซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรมเสริมหน้าอก แต่มีขนาด รูปร่าง และรายละเอียดที่แตกต่างกัน เป็นซิลิโคนที่เหมาะสำหรับการเสริมสะโพกเท่านั้น เพราะการเสริมสะโพกนั้นเป็นการใส่ซิลิโคนในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่มีการเคลื่อนไหวเยอะ และมีแรงกดมากกว่าบริเวณหน้าอก
ทั้งนี้ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกนั้น เจลซิลิโคนที่บรรจุภายในจะมีความแข็ง และมีความเหนียวมากกว่าซิลิโคนสำหรับเสริมหน้าอก รูปร่างก็จะแบนและกว้างกว่า ส่วนผิวของซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกก็มีทั้งแบบเรียบ และแบบผิวทรายทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบยังไม่มีผลวิจัยแน่ชัดว่าลักษณะผิวแบบไหนมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกจะใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศยุโรป รวมถึงประเทศไทย เพราะมีความปลอดภัย และทำให้การผ่าตัดเสริมสะโพกออกมามีรูปร่างที่ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซิลิโคนที่ใช้สำหรับผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพกมีทั้งหมดกี่แบบ?
ซิลิโคนที่ใช้สำหรับผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพกเทียมนั้นมีรูปทรงคล้ายกับซิลิโคนสำหรับผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือ แบบทรงกลม และทรงหยดน้ำ นอกจากนี้หุ้มซิลิโคนยังมี 2 แบบ คือแบบผิวเรียบ และแบบผิวทราย สำหรับขนาดที่นิยมใช้สำหรับการเสริมสะโพกนั้น จะมีตั้งแต่ขนาด 200-370 CC ทั้งนี้แพทย์จะแนะนำขนาดของซิลิโคนที่เหมาะสมกับรูปร่างของแต่ละคน เพื่อไม่ให้สะโพกมีขนาดใหญ่จนเกินไป เพราะอาจจะเกิดปัญหาหลังผ่าตัดได้
ซิลิโคนเสริมสะโพกชนิดทรงกลม : เป็นซิลิโคนที่แบนกว่าชนิดซิลิโคนสำหรับเสริมหน้าอก เหมาะสำหรับการใช้เสริมบริเวณสะโพกด้านใน หรือบริเวณบั้นท้าย เพื่อให้บั้นท้ายดูกลมสวย แต่ไม่ควรผ่าตัดเสริมระดับใต้ผิวหนังเพราะอาจจะทำให้สะโพกด้านในนั้นดูไม่สวยเป็นธรรมชาติ
ซิลิโคนเสริมสะโพกชนิดทรงหยดน้ำ : เป็นซิลิโคนรูปทรงวงรี ที่ใช้สำหรับเสริมบริเวณด้านข้างของสะโพก ซึ่งจะทำให้สะโพกดูสวยเป็นธรรมชาติมากกว่า จึงมักถูกเรียกว่าเป็นซิลิโคนเสริมสะโพกทรงธรรมชาติ โดยการผ่าตัดเสริมนั้น ซิลิโคนจะต้องมีการวางตำแหน่งให้เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง เพื่อที่จะให้สะโพกสวยดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูแตกต่างกันทั้งสองข้างนั่นเอง
เทคนิคการผ่าศัลยกรรมเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน
1.การผ่าตัดโดยวางซิลิโคนบริเวณใต้ผิวหนัง
เป็นการศัลยกรรมเสริมสะโพกโดยใช้เทคนิคการผ่าตัด และวางตำแหน่งของซิลิโคนไว้ใต้ชั้นผิวหนัง บริเวณเหนือกล้ามเนื้อ จะเห็นความนูนเด่นของสะโพกได้อย่างชัดเจน
- การผ่าตัดทำให้มีความเจ็บปวดน้อย
- สะโพกจะนูนเด่นเห็นชัดเจน
- ไม่เป็นอันตรายต่อเส้นประสาท
- ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
2.การผ่าตัดโดยวางซิลิโคนบริเวณใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Safe)
เป็นการศัลยกรรมผ่าตัดเสริมสะโพกโดยการวางตำแหน่งของซิลิโคนระหว่างกล้ามเนื้อสะโพกมัดบนและมัดล่าง การผ่าตัดเทคนิคนี้จะมีอาการเจ็บปวดหลังจากผ่าตัดมากกว่าเทคนิคเสริมสะโพกใต้ผิวหนัง แต่จะทำให้มองไม่เห็นขอบซิลิโคน และมีโอกาสที่ซิลิโคนจะทะลุนั้นมีน้อยกว่า อีกทั้งเทคนิคนี้จะต้องใช้ความชำนาญจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเส้นประสาทใหญ่ที่ขา
- โอกาสเกิดซิลิโคนทะลุมีน้อยกว่า
- สะโพกดูสวยงามเป็นธรรมชาติมากกว่า
- ป้องกันปัญหาซิลิโคนเคลื่อนที่
- ไม่ค่อยเห็นรูปทรงซิลิโคน
- ป้องกันปัญหาการติดเชื้อ
- ลดปัญหาการดูแลในระยะยาว
3.การผ่าตัดโดยวางซิลิโคนใต้พังพืดกล้ามเนื้อ
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่พัฒนาการมาจากการผ่าตัด 2 เทคนิคด้านบน โดยเป็นการเปิดช่องใต้พังพืดกล้ามเนื้อแล้วนำซิลิโคนเสริมสะโพกใส่เข้าไป คือเป็นการผ่าตัดเสริมสะโพกแบบอยู่เหนือกล้ามเนื้อ แต่อยู่ใต้พังพืดกล้ามเนื้ออีกที ทำให้เห็นส่วนนูนของสะโพกได้ชัด สามารถเสริมสะโพกด้านข้างได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเทคนิคนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน เพราะยังไม่มีวิธีมาตรฐาน และการผ่าตัดอาจไม่สามารถเปิดช่องนี้ได้โดยง่าย
- สะโพกจะนูนสวยมากกว่าการเสริมแบบใต้กล้ามเนื้อ
- สามารถเสริมบริเวณด้านข้างสะโพกได้
ตำแหน่งของแผลผ่าตัด สำหรับการศัลยกรรมเสริมสะโพกด้วยซิลิโคน
แผลผ่าตัดจากการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพกจะอยู่บริเวณร่องก้นด่านบนของ สะโพกทั้ง 2 ข้าง เพราะหลังจากที่ผ่าตัดแล้ว จะทิ้งร่องรอยแผลเป็นน้อยและซ่อนในตำแหน่งท่มองไม่เห็น และการผ่าตัดเป็นการเปิดแบบ 2 ตำแหน่ง ซ้าย และขวา แต่ทั้งนี้ผู้ทำศัลยกรรมต้องดูแลบาดแผลหลังศัลยกรรมอย่างที่ดีที่สุด เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ เนื่องจากบาดแผลนั้นอยู่ใกล้บริเวณทวารหนัก
ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมสะโพก
- แพทย์จะมีการให้คำปรึกษาก่อนทำศัลยกรรม และวิเคราะห์รูปร่างของผู้เข้ารับบริการ เนื่องจากสะโพกของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้นต้องมีการประเมินพื้นฐานของกายภาพ และเลือกวิธีการที่จะใช้ก่อนการผ่าตัด เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาเห็นผลชัดเจน ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด
- วิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการดมยาสลบให้กับคนไข้ และเฝ้าดูแลในการทำศัลยกรรมอยากใกล้ชิด
- ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณกึ่งกลางสะโพก โดยบาดแผลจะมีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
- ทำการเปิดช่องว่างเพื่อเตรียมทำการนำซิลิโคนใส่เข้าไปในบาดแผลที่เปิดไว้
- ทำการนำซิลิโคนเสริมสะโพกใส่เข้าไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดที่ทีมแพทย์ได้ประเมินไว้ ว่าควรจะเสริมในเทคนิคใด
- ทำการเย็บปิดบาดแผล
- ปิดบาดแผลด้วยผ้ายืดปิดแผล
- ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง
หมายเหตุ ในบางรายอาจจะต้องมีการดูดไขมัน หรือฉีดไขมันเสริมเข้าไปด้วย ทางทีมแพทย์จะทำการประเมินก่อนที่จะทำการผ่าตัดศัลยกรรม และถ้าหากต้องทำการดูดไขมัน หรือฉีดไขมันเสริมเข้าไปด้วยนั่น ทางแพทย์จะทำการเปิดแผลแยกเป็นขนาดเล็กๆ อีกแผล และอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแผลผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการเสริมสะโพก
การที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีการเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนทำการผ่าตัด จะทำให้ได้รับผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด อีกทั้งยังช่วยป้องการความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะส่งผลดีกับตัวคุณเอง โดยควรปฏิบัติตัวก่อนทำการผ่าตัดดังนี้
- ตรวจสุขภาพพื้นฐาน
- พักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการป่วยแทรกซ้อน
- งดสูบบุหรี่ และแอลกอฮอลล์ทุกชนิดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดน้ำ งดอาหารก่อนทำการผ่าตัด 6-8 ชั่วโมง
- ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 10-15 วัน
- ควรมีญาติ หรือเพื่อนมาในวันผ่าตัดด้วย
- งดรับประทานยากลุ่ม Aspirin และวิตามิน อาหารเสริม ยาลดน้ำหนักทุกชนิดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ถ้าความดันสูงควรควบคุมความดันให้อยู่ต่ำกว่า 140/90 mm Hg (มิลลิเมตร/ปรอท)
- แจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และยาที่ใช้รับประทานอยู่เป็นประจำให้ทีมแพทย์ทราบ
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆ ก่อนทำการผ่าตัด เพราะอาจจะยากต่อการทำความสะอาดก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ควรมีผู้ดูแลในระหว่างการพักฟื้นที่บ้าน
การดูแลตัวเองหลังจากทำการผ่าตัดเสริมสะโพก
- ช่วง 48 ชั่วโมงแรกควรทำการประคบเย็นบริเวณบาดแผล
- จากนั้นกลับไปพักฟื้นที่บ้าน โดยแพทย์จะนัดเข้ามาทำการตัดไหมอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์
- ในช่วงแรกๆ ควรทานยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการเจ็บอย่างต่อเนื่อง
- ไม่ควรให้บาดแผลโดนน้ำในช่วงการพักฟื้นก่อนทำการตัดไหม
- ในช่วงสัปดาห์แรกควรนอนพักผ่อนด้วยท่านอนคว่ำ หรือตะแคงเท่านั้น ห้ามนอนหงายโดยเด็ดขาด
- หลังจากผ่าตัดไป 3 วันแรก ควรพักผ่อนให้มากๆ แต่ไม่ควรนอนเพียงอย่างเดียว สามารถลุกขึ้นเดินช้าๆ
- หลังจากผ่าตัดสามารถนั่งได้ตามปกติ แต่ไม่ควรนั่งเป็นระยะเวลานาน ควรรอประมาณ 1 อาทิตย์ จึงจะสามารถนั่งได้ตามปกติ
- สามารถออกกำลังกายแบบเบาๆได้หลังจากผ่าตัดไปแล้วประมาณ 4 อาทิตย์ หลังจากนั้นสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ
- ช่วง 1-3 เดือนแรกอาจจะมีอาการเจ็บปวดสะโพกบ้างอยู่เป็นระยะ